"ม.เชียงใหม่" มหาวิทยาลัยประจำจังหวัด



มหาวิทยาลัยประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีนักศึกษาจากทั่วทั่วประเทศได้มีโอกาสที่จะมาเข้าเรียนที่นี่ ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีดอยสุเทพเป็นแบ็คกราวน์ เพิ่มความงดงามให้กับมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังเป็นอีกสถานที่ที่ภาพยนต์เรื่องเพื่อนสนิทกล่าวถึงด้วย แต่เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปถ่ายทำ จึงต้องไปใช้สถานที่ของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพ ถ่ายทำแทน ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ และเข้าใจว่าฉากในภาพยนต์ก็คือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั่นเอง

ศาลาธรรม อีกจุด Landmark ของ ม.ช.

       มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาคเป็นแห่ง แรกของประเทศไทย และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เรียกชื่อตามชื่อเมือง ปัจจุบันมหาวิทยาลัยนี้ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ อำเภอเมือง เชียงใหม่ ขนาบข้างด้วยถนนห้วยแก้ว และถนนสุเทพ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 4 ก.ม. และมีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่เศษ เปิดทำการสอน เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2507

       ปี พ.ศ. 2484 รัฐบาลมีนโยบายที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคขึ้นแต่เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 การดำเนินงานจึงชะงักลง ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 รัฐบาลชุดจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาว่า "จะดำเนินการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ตลอดถึงการศึกษาชั้นสูง" พ.ศ. 2502 ได้มีการประชุมโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ภาคการศึกษา 8 ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ม.ล.ปิ่น มาลากุล) เป็นประธาน ที่ประชุมมีความเห็นว่า "น่าจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่" พ.ศ. 2503 รัฐบาลชุด จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ลงมติอนุมัติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียกชื่อมหาวิทยาลัยนี้ว่า "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่"

"อ่างแก้ว" แหล่งพักผ่อนหย่อนใจของนักศึกษา



 ประวัติของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ทางราชการจัดตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ตามโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค พ.ศ.2501 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งอยู่ ณ ดินแดนล้านนา อันเป็นแหล่งสะสมวัฒนธรรมอันล้ำค่ามานานกว่า 700 ปี มีสภาพภูมิประเทศงดงามท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเป็นธรรมชาติ บริเวณเชิงดอยสุเทพ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

         นับตั้งแต่มีการเรียกร้องให้ขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาออกสู่ภูมิภาค โดยขอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 ในที่สุดการเรียกร้องก็สัมฤทธิ์ผลก่อให้เกิดความภูมิใจและดีใจเป็นอย่างยิ่ง แก่ชาวล้านนา

         วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้น โดยกำหนดให้เปิดสอนในปีการศึกษา 2507 และให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ม.ล.ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการเตรียมการจัดตั้ง

          วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 81 ตอนที่ 7 ลงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2507 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

           วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 วันเปิดเรียนวันแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
           วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างเป็นทางการ
           วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 


ไฟล์:CMU Logo.png

สัญลักษณ์มหาวิทยาลัย

ตราประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นรูปช้างชูคบเพลิงมีสุภาษิตเป็นภาษาบาลี ว่า “อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา” อยู่ในกรอบเส้นรอบวงด้านบนและคำว่า “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507” อยู่ด้านล่างตรงกลาง ระหว่างข้อความทั้งสองนี้ มี “ดอกสัก” คั่นกลางปรากฏอยู่ ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ซึ่งมีความหมายดังนี้
  • ช้าง เป็นสัตว์ที่มีคุณค่าสูงมากในภาคเหนือ จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของภาคเหนือ
  • การก้าวย่างของช้าง หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ไม่หยุดยั้ง
  • คบเพลิง หมายถึง ความสว่างไสวแห่งปัญญาและวิชาการ
  • รัศมี 8 แฉก หมายถึง คณะทั้ง 8 ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะจัดตั้งขึ้นตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • พุทธสุภาษิต “อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา” มีความหมายว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน
  • ดอกสัก ปรากฏอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ซึ่งถือว่าเป็นต้นไม้ที่มีค่าและมีความอุดมสมบูรณ์ในภาคเหนือ ดอกสักเป็นดอกไม้ขนาดเล็กและอยู่ในพวงใหญ่ มีสีขาว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร มีกลีบดอก 6 กลีบ  

 คณะที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีจำนวนนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน จำนวน 39,240 คน (ข้อมูล ณ วัน  ที่ 15 มิถุนายน 2554) จำแนกตามระดับการศึกษา ได้แก่ ระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท ระดับปริญญาเอก และระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต
โดยมีคณะที่เปิดสอนจำนวนทั้งสิ้น 20 คณะ 1 วิทยาลัย และ 1 บัณฑิตวิทยาลัย ได้แก่

  • คณะมนุษยศาสตร์
  • คณะศึกษาศาสตร์
  • คณะวิจิตรศิลป์
  • คณะสังคมศาสตร์
  • คณะวิทยาศาสตร์
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์
  • คณะแพทยศาสตร์
  • คณะเกษตรศาสตร์
  • คณะทันตแพทยศาสตร์
  • คณะเภสัชศาสตร์
  • คณะเทคนิคการแพทย์
  • คณะพยาบาลศาสตร์
  • คณะอุตสาหกรรมเกษตร
  • คณะสัตวแพทยศาสตร์
  • คณะบริหารธุรกิจ
  • คณะเศรษฐศาสตร์
  • คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
  • คณะการสื่อสารมวลชน
  • คณะรัฐศาสตร์และรัฐศาสนศาสตร์
  • คณะนิติศาสตร์
  • วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี
  • และบัณฑิตวิทยาลัย
         หลักสูตรในระดับปริญญาตรี มีหลักสูตรที่เปิดสอนในแต่ละคณะทั้งหมดประมาณ 100 หลักสูตรโดยจะมีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น หลักสูตรภาคปกติ หลักสูตรภาคพิเศษ หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรต่อเนื่อง และหลักสูตรสาขาวิชาร่วม โดยแต่ละคณะจะเป็นผู้กำหนดรายวิชาในแต่ละสาขาวิชาที่เปิดสอน

 

ลาบเหนือ ความอร่อยที่ไม่ควรพลาด

"ลาบเหนือ" เป็นอาหารพื้นเมืองที่ไม่ว่าคุณจะไปทานอาหารที่ร้านไหนในเชียงใหม่ คุณก็สามารถที่จะสั่งมาลองลิ้มชิมรสได้อย่างแน่นอน อันที่จริงแล้ว ลาบเมืองนั้นจะแตกต่างจากลาบอิสาน ซึ่งจะเน้นไปทางรสชาดที่จัดจ้าน แต่ลาบเมืองนั้นจะเน้นไปที่เครื่องเทศ ที่เรียกกันติดปากว่า "น้ำพริกลาบ" ซึ่งมีส่วนผสมของสมุนไพรและเครื่องเทศมากมายหลายชนิด และนอกจากลาบเมืองจะเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของเชียงใหม่แล้ว ในจังหวัดต่างๆก็ได้มีการนำลาบเมืองไปขายตามร้านต่างๆและได้รับผลการตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก

ลาบดิบ

ลาบคั่ว

จุดเด่นของลาบเหนือนั้นก็คือหนังหมูและไส้ รวมไปถึงเครื่องในนั่นเอง  ลาบเหนือนั้นมีหลายประเภท อาทิเช่น ลาบดิบ ลาบคั่ว ลาบขม เป็นต้น ซึ่งวิธีการทำนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งคนที่นี่ส่วนใหญ่ชอบกินลาบดิบครับ (แต่ผมใจไม่ถึง ยังไม่กล้าลอง ขอกินแค่ลาบคั่วไปก่อน) และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการกินลาบเมืองนั้นก็คือ ผักแนม ซึ่งมีผักหลากหลายประเภทที่หากินที่อื่นไม่ได้ เช่น ผักคาวตอง ผักไผ่ ผักแปม ผักกำปอง ผักหอมป้อมเป้อ ผักหอมด่วน กระเจี๊ยบเขียว(ดิบ) มะเขือ ยอดมะกอกป่า 

วิธีการทำลาบเหนือ

ส่วนผสม 

หมูสับ 1/2 กิโล
ตับหมู 3 ขีด
ไส้อ่อน พวงเล็กๆ
พริกลาบ (หาชื้อได้ตามร้านที่ขายอาหารเหนือ)
มะแขว่น (หาชื้อได้ตามร้านที่ขายอาหารเหนือ)
ผักชีใบเลื่อยซอย
ผักชีลาวซอย
ต้นหอมซอย
ผักชีซอย
ตะไคร้ซอย
น้ำปลา
น้ำตาลเล็กน้อย
รากผักชีซอย
หอมแดงซอย
ใบมะกรูดฉีกก้านกลาง
เลือดหมูสดๆ ใส่ตะไคร้ซอยลงไปผสม


วิธีทำ

1. เอาไส้อ่อนไปต้มจนเปื่อยดี จากนั้นเอาตับลงต้มแค่พอสุก ทิ้งไว้ให้อุ่นๆ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้
2. เจียวหอมแดง ทอดใบมะกรูดให้กรอบ
3. ผสมพริกลาบกับหมูสับซัก 5 ช้อน ใส่มะแขว่นตำละเอียดลงไป คลุกให้เข้ากัน
4. ใส่รากผักซีซอย ตับหั่นชิ้นเล็ก ไส้อ่อนหั่นชิ้นเล็กๆ เลือดหมูซัก 4-5 ช้อน ใส่ผักที่ซอยเอาไว้เล็กน้อย
5. เอาลงผัดในกระทะที่ตั้งไฟไว้ ปรุงรสให้เค็มๆ เผ็ดๆ ด้วยน้ำปลา น้ำตาลหน่อยนึง ผัดให้สุกทั่ว ตักขึ้น ใส่ผักที่ซอยเอาไว้ทั้งหมด    
6. โรยหอมแดงเจียว ใบมะกรูดทอดกรอบ ตักเสิร์ฟได้



สาวเชียงใหม่ 2

 ภาพชุดนี้จัดเต็ม เอาใจหนุ่มๆทุกคน เนื่องจากภาพชุดแรก "สาวสวยเชียงใหม่ 1" นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก รับรองว่าภาพชุดนี้รับทำ SEO จะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน 














THE GOOD VIEW วิวที่สวยที่สุดในเมืองเชียงใหม่



อีกหนึ่งสถานที่ท่องราตรีของเมืองเชียงใหม่ ที่บรรดาขาแดนซ์ หรือจะเป็นนักดื่มเอาบรรยากาศ ต่างหลั่งไหลกันมาท่องเที่ยวอย่างไม่ได้นัดหมาย ร้านที่ผมกำลังพูดถึงก็คือ "THE GOOD VIEW เชียงใหม่" นั่นเองผับแอนด์เสรเตอรองค์ ที่มีนักร้องคอยขับกล่อมเสียงเพลง สรา้งความเพลิดเพลินให้กับแขกผู้มาเยือน เพื่อให้ผ่อนคลายกับการเรียนที่เมื่อยล้า หรืองานที่แสนจะเครียดนั่นเอง

นอกจากเสียงเพลงจากดนตรีสดที่คอยขับกล่อมตลอดทั้งคืนแล้ว ในส่วนของอาหารต้องขอบอกว่า ที่นี่ไม่แพ้ร้านอื่นๆในเชียงใหม่เลย ลองนึกภาพกินข้าว เคล้าเสียงเพลง หรือชอบบรรยากาศแบบเป็นกันเอง ก็สามารถหามุมสงบนั่งกินข้าวพร้อมกับชมวิวแม่น้ำปิงยามราตรี ช่างเป็นการกระตุ้นให้เจริยอาหารยิ่งนัก



     THE GOOD VIEW เชียงใหม่ ตั้งอยู่บนทำเลที่ขึ้นชื่อได้ชื่อว่าสวยที่สุด บนเจริญราษฎร์ริมฝั่งน้ำปิงระหว่างสะพานนวรัฐ และสะพานนครพิงค์ ในวันที่ 19 มกราคม 2539 ได้ถือกำเนิดสถานที่ที่หนึ่งขึ้นมาในนามของ THE GOOD VIEW ด้วยแนวความคิด ที่ทันสมัย ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ให้บริการด้านอาหารนานาชาติ เช่น ไทย จีน ฝรั่ง และญี่ปุ่น พร้อมด้วยเครื่องดื่มนานาชนิด ภายในตกแต่งด้วยสไตส์ ไทยโมเดอร์น ปลอดโปร่ง เพื่อที่ให้ผู้ที่เข้ามา ได้ชื่นชมบรรยากาศอย่างเต็มที่ ด้วยจำนวนพื้นที่ในการให้บริการลูกค้ามากถึง 120 โต๊ะ รองรับลูกค้าได้มากกว่า 800 ที่นั่งในวันปกติ และแน่นอนว่า ทุกท่านที่มายังสถานที่แห่งนี้จะได้ชื่นชมลำน้ำปิงยามค่ำคืนอย่างชัดเจนและ ใกล้ชิด พร้อมกับวงดนตรีสดที่จะให้ความบันเทิงในทุกค่ำคืน และยังมีการจัดคอนเสิร์ต จากศิลปินมากหน้าหลายตาอย่างต่อเนื่อง

       ปัจจุบัน THE GOOD VIEW ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสัญญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่าง ชาติ จากปากต่อปากทำให้ THE GOOD VIEW ได้รับความนิยมจนถึงขณะนี้ 

การเดินทาง 
จากตัว เมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าข้ามสะพานนวรัตน์แล้วเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกมาประมาณ 500 เมตรจะเห็นร้านเดอะกู๊ดวิวบาร์แอนด์เรสเตอรองท์ ตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันปตท. บนถนนเจริญราษฎร์ จอดรถในปั๊มน้ำมันปตท.เสียค่าจอดรถ 50 บาทแล้วนำบิลค่าจอดรถมาแลกเครื่องดื่มได้ภายในร้าน

จุดเด่นอีกอย่างของร้าน นั่นก็คือเมื่อร้านใกล้จะปิด พนัดงานจะเอาข้าวต้มร้อนๆมาเสริฟให้กับนักท่องเที่ยวได้กินฟรี ชนิดไม่มีอั้นเลย ใครกินได้เท่าไหร่เชิญเต็มที่ เรียกได้ว่าได้ความอิ่มก่อนกลับบ้านกันเลยทีเดียว 

คำเมือง ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน



วันนี้จะสอนคำเมือง ซึ่งถ้าหากมาเที่ยวที่เชียงใหม่ รับรองว่าได้ใช้อย่างแน่นอน เอาไปฝึกพูดกันนะครับ


คำเมืองความหมาย
กินข้าวล่ะ กินข้าวหรือยัง
ข้าวงาย ข้าวเช้า
ข้าวตอน ข้าวเที่ยง
ข้าวแลง ข้าวเย็น
หนมเส้น ขนมจีน
ข้าวนึ่ง ข้าวเหนียว
ข้าวเจ้า ข้าวสวย
ปี้ พี่สาว
อ้าย พี่ชาย
หลุต๊อง ท้องเสีย
ซาวบาท ยี่สิบบาท
เอาแฮมก่อ เอาอีกมั๊ย
อันเต้าใด อันละเทาไหร่
ขอบคุณจั๊ดนัก ขอบคุณมากๆ
ม่วน สนุก
ลำ อร่อย
แต้ๆ มากๆ
ฮื้อ ให้
ฮัก รัก
เปิ้ล ฉัน
ตั๋ว เธอ
หมู่เฮา พวกเรา
กาด ตลาด
ป้อหลวง ผู้ใหญ่บ้าน
โฮงยา โรงพยาบาล
ตุ๊เจ้า พระ
เตว เดิน
ร่น วิ่ง
เกิบ รองเท้า
เตี่ยว กางเกง
รถถีบ จักรยาน
รถเครื่อง รถมอเตอร์ไซด์
กำกึ๋ด ความคิด
    คำเมืองต่างๆเหล่านี้ คือคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนเมือง ซึ่งถ้าหัดพูดคำเหล่านี้ได้แล้วล่ะก็ สามารถคุยกับคนเชียงใหม่ได้เข้าใจในระดับหนึ่งเลยล่ะ ส่วนคำอื่นๆคงต้องศึกษากันแบบ Advance อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวจะมาเขียนในบทความต่อไปให้ได้ติดตามกัน รับรองว่าเข้ามาอ่านแล้วต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเลยทีเดียว

ไก่ทอดมือเหล็ก ของแปลกเมืองเชียงใหม่



เชื่อหรือไม่ว่าที่เชียงใหม่มีพ่อค้าที่ทอดไก่ขายโดยที่ไม่ต้องใช้ตะหลิวเลยแม้แต่อันเดียว แต่ใช้มือเปล่าในการพลิก หรือหยิบไก่ขึ้นมา ไช่ครับ ผมพูดว่า "มือเปล่า" ฟังไม่ผิดหรอกครับ และเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วจาก "กินเนสบุ๊ค ออฟ เรคคอร์ด" ที่ลงทุนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาพิสูจน์ให้เห็นกับตา และด้วยความแปลกนี่เอง ที่ช่วยสรา้งจุดขายให้กับร้านไก่ทอดที่แสนจะธรรมดา ให้กลายเป็นไก่ทอดที่คนจากทุกสารทิศต้องหาโอกาสสักครั้งเพื่อมาลิ้มลองด้วยตนเองสักครั้ง นั่นก็คือ "ร้านไก่ทอดเทคนิคนายขัน" หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ไก่ทอดมือเหล็ก" ซึ่งตัวร้านตั้งอยู่ข้างเทคนิคเชียงใหม่ และเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขานั่นก็คือ หลัง มช.และหน้า มช.

โดยความประหลาดนี่้เริ่มต้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ขณะที่เขากำลังทอดไก่ตามปกติ มะม่วงได้ตกลงมาจากต้น ลงกระทะไก่ทอดของเขา น้ำมันกระเด็นไปทั่วศีรษะ แขนและมือของเขา ซึ่งเขาน่าจะบาดเจ็บสาหัส แต่กลับมีเพียงแผลพุพองและรอยแดงเท่านั้น และวันต่อมาเขาก็กลับมาทำงานได้ตามปกติ ซึ่งสรา้งความประหลาดใจให้กับคนใกล้ตัวเขายิ่งนัก หลังจากนั้นเขาก็เริ่มใช้มือเปล่าในการทอดไก่เป็นต้นมา


บ้านสวนชมจันทร์

วันนี้ได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนแบบไม่ทันได้ตั้งตัว จริงๆแล้วแพลนจะมาเที่ยวในวันเสาร์หน้า แต่แฟนโทรมาบอกให้แพ็คกระเป๋าด่วน เพราะโทรไปจองห้องพักมาเรียบร้อยแล้ว จึงต้องตกกระไดพลอยโจน มาเที่ยวแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ดีเพราะถือว่าเป็นการให้รางวัลและชาร์จพลังให้กับชีวิต ที่สำคัญสถานที่ที่เราจะไปนั้น อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่เท่าไหร่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 34 กิโลเมตร ๖ขับไปเรื่อยๆชมวิวสองข้างทางไปด้วย) และสถานที่ที่ผมกำลังจะพูดถึงนั่นก็คือ "บ้านสวนชมจันทร์" นั่นเอง ตั้งอยู่ใน อ.แม่แตง เส้นทางเชียงใหม่ - ปาย ใครแวะไปเที่ยวปาย อย่าลืมแวะกินข้าวและถ่ายรูปที่นี่ก่อนนะครับ บรรยากาศดีมาก อาหารอร่อย และราคาไม่แพงด้วยครับ

บทความนี้ขออนุญาติลงรูปเยอะหน่อยนะครับ เพราะเป็นรูปที่ถ่ายกับครอบครัว ถ่ายมาเยอะ จะตัดออกก็เสียดาย ยังไงทนดูหน่อยนะครับ

                            

        ที่พักของเรา ห้องนอนอยู่ชั้น 2 ชื่อ "ห้องชมดาว" เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของที่นี่


หน้าห้องพัก เหมาะกับการจิบกาแฟชมวิวยามเช้าเป็นอย่างมาก



ห้องพักต่างๆใน "บ้านสวยชมจันทร์"



นางแบบ กับ นายแบบจำเป็น เหมาะมากสำหรับคนชอบถ่ายรูป



 อาหารที่นี่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย เมนูแนะนำ "แกงส้มชะอมไข่ น้ำแกงส้มข้นมาก

เห็ดทอด หวานมาก เหมือนกินเนื้อหมู (เมนูนี้สั่งมาให้ลูก เพราะลูกไม่ชอบกินผัก)

ปลา 2 ใจ ฝั่งหนึ่งเป็นปลาทอดกระเทียม อีกฝั่งเป็นปลาราดพริก เนื้อปลาสด หวานอร่อยสุดๆ


มื้อเช้า แนะนำชุดไข่กระทะ (พ่อแม่จัดไก่ทอดเกลือกับปลาหมึกผัดผงกระหรี่)

สรุปทริปนี้ เหมาะกับคนที่ต้องการบรรยากาศแบบธรรมชาติ เดินทางไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ ถ้ามาจากตัวเมืองเชียงใหม่ก็วิ่งเส้นเชียงใหม่ - แม่ริม ตรงมาเรื่อยๆวิ่งมาถึงอบต.แม่แตง ก็เตรียมเลี้ยวซ้ายเส้นที่จะไปปาย ขับตรงมาอีกประมาณ 4 กม.เจอไฟแดง จากนั้นก็กลับรถ จะเห็นป้าย "บ้านสวนชมจันทร์" ก็แสดงว่ามาไม่ผิดอย่างแน่นอน

การเดินทางมาเชียงใหม่โดยรถทัวร์

การเดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากจะ เดินทางด้วยเครื่องบิน แล้ว ยังสามารถเดินทางโดยรถทัวร์ ซึ่งมีบริษัทเดินรถมากมายให้เลือก มีตั้งแต่เกรด A อย่างนครชัยแอร์ ที่มีที่นั่งแบบ VIP 24 ที่นั่ง ที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาะที่เอนนอนแบบสบายมากกว่ารถทัวร์บริษัทอื่น 
ด้วยระยะทาง 692 กม.จากกรุงเทพฯ ผ่านเส้นทางมุ่งสู่ภาคเหนือ ดินแดนแห่งล้านนา สถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ และวัฒนธรรมของชาวเหนือ ท่านสามารถเดินทางได้โดยสะดวก โดยซื้อตั๋วได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 ซึ่งก็มีหลายบริษัทให้เลือกมากมาย ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณ 600 - 800 บาท


น้ำพริกหนุ่ม อีกหนึ่งความอร่อยที่ต้องลอง



หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับ "น้ำพริกอ่อง" ไปแล้ว ในวันนี้จะขอแนะนำให้รู้จักกับน้ำพริกอีกประเภทที่ทุกบ้านต้องกินกัน รสชาดจะแตกต่างจากน้ำพริกอ่อง เพราะจะออกรสเผ็ดกว่าน้ำพริกอ่องเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนผสมของพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียม เอามาย่างไฟ จากนั้นเอามาตำเป็นน้ำพริก กินกับข้าวเหนียวร้อนๆเคียงกับกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ใส้อั่ว แหนม ไข่ต้ม และแคบหมู บางบ้านกินกับฟักทองต้ม เข้ากันได้เป็นอย่างดี

วิธีทำน้ำพริกหนุ่ม

1. นำพริก, กระเทียมและหอมแดงไปย่างจนผิวเกรียมดี ทิ้งไว้ให้หายร้อนแล้วจึงแกะเปลือกออก
2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปตำในครก ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำปลา ตำจนทุกอย่างเข้ากันดี ถ้าชอบเปรี้ยวอาจใส่น้ำมะนาวลงไปได้นิดหน่อย 
3. ตักใส่ถ้วย จากนั้นซอยผักชีโรยหน้า เพิ่มความหอมให้กับน้ำพริก

เพียงเท่านี้ เราก็จะได้น้ำพริกหนุ่มที่สุดแสนจะน่ากิน หากกินไม่หมดสามารถใส่ในตู้เย็นเพื่อเก็บไว้กินต่อในมื้อต่อไปได้

ตุงล้านนา ธงชัยของชาวเหนือ


"ตุง" เป็นภาษาล้านนาใช้เรียก “ธง” ทุกชนิดว่า ตุง
ไม่ว่าจะเป็นแบบผืนยาวๆ ผูกติดยอดเสาปล่อยชายห้อยลงมา หรือ แบบเป็นผืนสามเหลี่ยมสี่เหลี่ยมสั้นๆ
ผูกให้ห้อยลงมาหรือผูกด้านขวางให้ชายตุงไปทางด้านข้างๆ ตุงมีหลายขนาดหลายแบบหลายสี
ทำจากวัสดุหลายชนิด เช่น ผ้าทอเป็นผืนทึบตลอดทั้งผืน หรือทอทึบสลับกับลายโปร่งตลอดทั้งผืน
ทำจากกระดาษสา กระดาษสี ไม้กระดานเป็น โลหะทองคำ ทองเหลือง เหล็ก สังกะสี ตะกั่ว ดีบุก
ตุง มีหลายชนิดหลายแบบ แต่ละแบบแต่ละชนิดมีรูปร่าง สี การประดับตกแต่ง
 
วิธีทำและใช้ประโยชน์เนื่องในงานพิธีกรรม แตกต่างกันออกไปแล้วแต่กรณีความเชื่อในเรื่องตุงหรือการ
“ ตานตุง ” และใช้ตุงในพิธีกรรมต่าง ๆ ดังนี้

๑ . เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึง ชัยชนะ ความปิติชื่นชม เกียรติยศ ความสำเร็จ

๒ . เป็นเครื่องหมายแสดงที่ตั้ง สถานที่จับจอง

๓ . เป็นการอุทิศ ส่วนบุญกุศลแก่ตัวเอง และแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้อยู่สุขสบายหลุดพ้น จากห้วงนรก

๔ . ใช้เป็นเครื่องบูชาเทวดา ภูตผี ในพิธีสืบชะตา สะเดาะเคราะห์

๕ . เป็นเครื่องหมายนำขบวนแห่เครื่องไทยทาน (ริ้วธง) เช่น ตุงจ้อจ้าง
และนำขบวนแห่ศพเข้าสู่ป่าช้า คือตุงสามหางความจริง 

ผู้คนสมัยก่อน เลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาอย่างลุ่มลึกด้วยความบริสุทธิ์ใจ
จึงได้มีการกล่าวถึงพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ และได้คิดสร้างสรรค์ประดิษฐ์ตุงไจยเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ด้วยตุงไจยที่มีองค์ประกอบดังนี้

- ประดิษฐ์ ตัวไก่ จับบนก๊าง (ค้าง) ตุงเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันโธ
- ประดิษฐ์ตัวตุงให้ยาวดั่ง ตัวนาค เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคม
- ประดิษฐ์ลวดลายตารางตกแต่งตัวตุงเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสโป
- ประดิษฐ์ลูกตาวัว เครื่องประดับตัวตุงเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ (องค์ปัจจุบัน)
- ประดิษฐ์ก๊าง (ค้าง) ตุงเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตร
ซึ่งจะมาบังเกิดอีกราว ๒๕๐๐ ปีข้างหน้า เมื่อประดิษฐ์ตุงไจยเสร็จจะนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาประพรมไล่เสนียดจัญไร สิ่งไม่พึงประสงค์ออกไปจากตุง ให้หมดใสงดงามไร้มลทิน หลังจากนั้นจัดทำสวย (กรวย) ดอกไม้ จัดขัน (พาน) เพื่อนำตุงวางในขันแล้วนำไปถวายพระด้วยจิตใจปลื้มปิติ ก้มกราบรับพระในรำลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ด้วยเชื่อและหวังให้ตุงนำวิญญาณขึ้นสวรรค์เมื่อตนเองสิ้นชีวิตไปแล้ว หลังจากถวายตุงแล้วนำตุงมัดปลายก๊างติดปลายเสา นำเสาตุงไปฝังใกล้ขอบทางเดินแล้วนำหลักสั้นไปตอกใกล้โคนเสาตุงเพื่อผูกมัด เสาตุงติดหลักให้มั่นคงแล้วปล่อยให้ตุงแขวนติดก๊างให้ปลายตุงด้านล่างสูงราวศีรษะของเจ้าของเชื่อว่าตุงได้พ้นจากผิวพื้นดินไม่ปนเปื้อนฝุ่น ปล่อยให้ตุงโบกไสวสง่างามบอกให้เทวดาฟ้าดินรับทราบถึงศรัทธาใบบุญ แต่เจ้าของตุงบางคนไม่นิยมนำตุงไจยไปปักกลางแจ้ง ก็จะนำตุงไปแขวนบูชาไว้ในพระวิหาร แขวนในโบสถ์ให้ตุงเป็นเครื่องสักการะพระพุทธเจ้าอย่างถาวร หลังจากนั้นจึงทำการหยาดน้ำตาน (ทาน) ตุงอีกครั้งฝากบอกเทวดาฟ้าดินขอให้ปกปักรักษาตุงมิให้เสียหาย

น้ำพริกอ่อง


อาหารอีกชนิดหนึ่งที่ขึ้นชื่อมากสำหรับเชียงใหม่ เรียกได้ว่าใครมาก็ต้องซื้อหาเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับไปด้วยอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าได้กินคู่กับข้าวเหนียวร้อนๆและแคบหมูด้วยล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่า "ลำแต้ๆ" เกริ่นมา สิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงนั่นก็คือ "น้ำพริกอ่อง" นั่นเอง เริ่มน้ำลายไหลแล้วไช่มั๊ยครับ 
"น้ำพริกอ่อง" มีสีสันที่น่ากิน สีแดงของมะเขือเทศ และกลิ่นหมูสับที่ยั่วยงวนชวนให้น้ำลายสอจริงๆ

เครื่องปรุง

- หมูสับ 250 กรัม
- มะเขือเทศลูกใหญ่ 3-4 ลูก
- พริกแห้งบางช้างหั่นเป็นท่อน
เอาเมล็ดออกแช่น้ำ 3 เม็ด


- ข่า 2 แว่น
- กะปิปิ้งไฟ หรือถั่วเน่า 1 ช้อนชา
- หอมแดง 2 หัว
- กระเทียมกลีบเล็ก 4 กลีบ
- รากผักชี 2 ราก
- กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา พอประมาณ
- น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
- รสดีรสหมู 1 ช้อนชา
- ต้นหอมซอย พอประมาณ
- ผักชีซอย พอประมาณ

วิธีทำ
1. โขลกพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม ข่า รากผักชี กะปิหรือถั่วเน่ารวมกันให้ละเอียด
2. นำหมูสับลงไปย้ำกับครกให้เข้ากับเครื่องแกงน้ำพริกที่โขลกไว้ นำมะเขือเทศที่หั่นเป็นชิ้น เล็ก ๆ ใส่ลงในครกแล้วย้ำให้เข้ากัน แต่อย่าให้ละเอียด
3. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไป พอร้อนใส่กระเทียมสับที่เหลือลงไป ผัดให้หอม นำเครื่องที่โขลกกับหมูไว้ลงผัดให้ทั่ว ใส่รสดีรสหมูลงไปผัดด้วยไฟอ่อน ปรุงรสด้วยน้ำปลา แล้วเคี่ยวจนกระทั่งมะเขือเทศเปื่อย
4. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยผักชี ต้นหอม เสิร์ฟพร้อมกับผักสด และแคบหมู.


Art in Paradise เชียงใหม่




พิพิธภัณฑ์ 3 มิติเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยที่ พัทยา จังหวัดชลบุรี และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ และสวยงามแปลกตาเป็นอย่างมาก ทำให้บริษัท อาร์ตอินพาราไดซ์ ต้องมาเปิดแห่งที่สองของเมืองไทยที่จังหวัดเชียงใหม่ และยังถือได้ว่า Art in Paradise เชียงใหม่นั้น เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพ 3 มิติที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกด้วย โดยการเนรมิตห้างสีสวนเก่า ที่ตั้งอยู่บนถนนช้างคลาน ด้วยขนาดพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตร พื้นที่ทั้งหมด 3 ชั้น บรรจุภาพ 3 มิติทั้งหมด 130 ภาพ ด้วยฝีมือของจิตรกรมืออาชีพชาวเกาหลี

อัตราค่าบริการ ผู้ใหญ่ 180 บาท ส่วนเด็กที่สูงไม่ถึง 120 บาทเท่านั้นเอง

ศูนย์หัตถกรรม "บ้านถวาย"


   ถ้าต้องการหาของตกแต่งบ้านที่มีดีไซน์เฉพาะตัว และมีความเก๋ไก๋ตามฉบับล้านนา ขอแนะนำศูนย์หัตถกรรมบ้านถวาย ศูนย์รวมงามแฮนเมดด์ที่ใหญ่ที่สุดของเชียงใหม่ เป็นแหล่งรวมของตกแต่งบ้านรวมไปถึงสินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศมากที่สุด เนื่องจากที่นี่มีโรงงานผลิตไม้แกะสลัก เครื่องเรือน รวมไปถึงงานเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ที่ให้คุณได้เดินเลือกซื้ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันเลยทีเดียว

บ้านถวายตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตำบลขุนคง ระยะห่างจากที่ตั้งที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนคง ประมาณ 1 กิโลเมตร และห่างจากที่ว่าการอำเภอหางดง ประมาณ 3 กิโลเมตร จังหวัดเชียงใหม่

ประวัติความเป็นมาของบ้านถวาย

    หมู่บ้านบ้านถวาย ตั้ง อยู่ตามสายหลักมีสภาพการคมนาคมโดยทั่วไปสะดวก ส่วนใหญ่เป็นถนนลาดยางตลอดสาย การคมนาคมส่วนมากใช้พาหนะส่วนตัว เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ตั้งมาประมาณ 100 กว่าปี สาเหตุที่ชื่อบ้านถวาย ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่

      เล่าว่าบ้านถวาย ดั้งเดิมเป็นจุดถวายของให้พระนางเจ้าจามเทวีที่เสด็จผ่าน จากนครลำพูน ซึ่งเดินทางโดยทางเกวียนผ่านมาทางบ้านถวาย ชาวบ้านเมื่อทราบข่าวการจะเสด็จผ่านของพระนางฯ จึงพากันเตรียมข้าวของ หรือบางครอบครัวก็จะช่วยกันรีบตีเครื่องเงินเตรียมไว้ถวาย 



หาซื้อของกินของฝากที่ "กาดหลวง"



ตลาดวโรรส หรือที่คนเชียงใหม่เรียกกันติดปากว่า "กาดหลวง" นั้นเป็นแหล่งซื้อของกินของฝากที่ขึ้นชื่อที่สุดของเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าคนที่มาเที่ยวเชียงใหม่ แล้วไม่แวะไปซื้อของฝากติดไม่ติดมือ ก็เหมือนกับว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่เลยทีเดียว
สินค้าที่ขึ้นชื่อของกาดหลวงก็ได้แก่ แคบหมูไร้มัน กุนเชียง หมูหยอง น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ๋อง ใส้อั๋ว และผลไม้เมืองเหนือ เช่น สตรอเบอรี่ เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว กาดหลวงยังมีเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ให้เลือกช็อปปิ้งกันอย่างจุใจเลยทีเดียว 


อีกหนึ่งอย่างที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปซื้อของที่กาดหลวงนั่นก็คือ การแวะกินขนมจีน เพราะอร่อยมว๊าก ลำแต้ๆ ลำขนาด ที่สำคัญราคาก็ไม่แพง มีหลายน้ำให้เลือก เช่น ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนแกงเขียงหวาน ขนมจีนน้ำเงี้ยว กินคู่กับผักสด และพริกแห้ง พูดแล้วน้ำลายไหล ว่าแล้วเขียนบทความนี้เสร็จก็แวะไปกินเลยดีกว่า จะได่หายอยาก

Monkey Club อีกหนึ่งสถานความบันเทิงยามราตรี



ถ้าพูดถึงที่เที่ยวกลางคืนแล้วไม่พูดถึง "Monkey Club" ก็คงจะไม่ได้ เพราะเป็นอีกแหล่งรวมวัยรุ่น ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ แต่ใครจะรู้ว่าจุดเริ่มต้นเล็กๆของ "Monkey Club" นั้นไม่เหมือนกับชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ เพราะเริ่มจากการ "ขายก๋วยเตี๋ยว" ในช่วงกลางวันไปด้วย และเริ่มต้นจากร้านเล็กๆที่มีโต๊ะเพียงแค่ 15 โต๊ะในร้านเท่านั้นเอง
ภายในร้านจะมีมุมสำหรับนั่งคุยกันชิลล์ๆ หรือต้องการจะแดนซ์ก็เชิญด้านในจะมีวงเล่นดนตรีสดสลับกับการเปิดแผ่นของดีเจ เรียกได้ว่าถูกใจทั้งขาแดนซ์ และขาดื่มกันเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบทั้งอาหารปากและอาหารตาก็ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
ร้าน Monkey Club ตั้งอยู่ที่นิมมานน์ซอย 5 ถ้าไปไม่ถูกถามใครก็ได้แถวนั้น เพราะร้านดังมาก เปิดมาตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปัจจุบันก็ 10 กว่าปีแล้ว ถ้าไม่เจ๋งจริงคงอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน

ครูบาเจ้าศรีวิชัย




   หากมีโอกาสที่จะขึ้นมาเที่ยวที่เชียงใหม่แล้วนั้น ไม่ควรพลาดโอกาสที่จะมาสักการะ "ครูบาศรีวิชัย" เพราะถือได้ว่าเป็นรูปเคารพของคนเชียงใหม่ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปสักการะต่อที่ดอยสุเทพ หรืออาจจะแวะไปเที่ยวต่อที่สวนสัตว์เชียงใหม่ สำหรับผู้ที่เดินทางมากับเด็กๆ
  ครูบาศรีวิชัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปโดยเฉพาะในเขตล้านนาว่าเป็น "ตนบุญ" หรือ "นักบุญ" อันมีความหมายเชิงยกย่องว่าเป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ อาจพบว่ามีการเรียกอีกว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัย พระครูบาศรีวิชัย ครูบาศีลธรรม หรือ ทุเจ้าสิริ (อ่าน"ตุ๊เจ้าสิลิ") แต่พบว่าท่านมักเรียกตนเองเป็น พระชัยยาภิกขุ หรือ พระศรีวิชัยชนะภิกขุ เดิมชื่อเฟือนหรืออินท์เฟือนบ้างก็ว่าอ้ายฟ้าร้อง เนื่องจากในขณะที่ท่านถือกำเนิดนั้นปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ส่วนอินท์เฟือนนั้น หมายถึง การเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์หรือเมืองของพระอินทร์ ท่านเกิดในปีขาล เดือน ๙ เหนือ(เดือน ๗ของภาคกลาง) ขึ้น ๑๑ ค่ำ จ.ศ.๑๒๔๐ เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๑ ที่หมู่บ้านชื่อ "บ้านปาง" ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ท่านเป็นบุตรของนายควาย นางอุสา มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน มีชื่อตามลำดับ คือ ๑. นายไหว ๒. นางอวน ๓. นายอินท์เฟือน(ครูบาศรีวิชัย) ๔. นางแว่น ๕. นายทา 

ครูบาศรีวิชัย เป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด ท่านงดการเสพหมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิง ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 26 ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทย บางครั้งก็ไม่ฉันข้าวทั้ง 5 เดือน นอกจากนี้ท่านยังงดฉันผักตามวันทั้ง 7 คือ
  • วันอาทิตย์ ไม่ฉันฟักแฟง
  • วันจันทร์ ไม่ฉันแตงโมและแตงกวา
  • วันอังคาร ไม่ฉันมะเขือ
  • วันพุธ ไม่ฉันใบแมงลัก
  • วันพฤหัสบดี ไม่ฉันกล้วย
  • วันศุกร์ ไม่ฉันเทา
  • วันเสาร์ ไม่ฉันบอน
นอกจากนี้ผักที่ท่านจะไม่ฉันเลยคือ ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิกและ ผักเฮือด-ผักฮี้ (ใบไม้เลียบอ่อน) โดยท่านให้เหตุผลว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง 4 จะเป็นปกติ ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดีนัก

ผลงานที่เด่นมากของครูบาศรีวิชัยก็คือ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งครูบาศรีวิชัยได้รับคำเรียกร้องจากศรัทธาประชาชน ให้ช่วยดำริและจัดการเรื่องนี้ จึงเริ่มลงมือสร้างเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เวลา 10.00 นาฬิกา ณ เชิงดอยสุเทพด้านห้วยแก้ว โดยมี พลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ขุดจอบเป็นปฐมฤกษ์ การสร้างถนนสายนี้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมากวันหนึ่งๆ จะมีผู้คนช่วยทำงานประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ถ้าคิดมูลค่าแรงงานเป็นเงินก็คงมากมายมหาศาลทีเดียว การสร้างทางสายนี้ใช้เวลา 5 เดือน กับ 22 วัน จึงแล้วเสร็จ และเปิดให้รถขึ้นลงได้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478

สวนสัตว์เชียงใใหม่



อีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของเมืองเชียงใหม่ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากคนเชียงใหม่เอง และจากคนต่างจังหวัด รวมไปถึงชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวที่เมืองเชียงใหม่ หลังจากที่สักการะ "ครูบาศรีวิชัย" เสร็จแล้ว ขอเชิญชวนทุกท่านให้ลองแวะเที่ยว "สวนสัตว์เชียงใหม่" สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยสร้า้งชื่อเสียงให้กับเชียงใหม่ ด้วยการจัดโชว์หมีแพนด้า "ช่วงช่วง" และ "หลินฮุ่ย" ที่ขอยืมมาจากรัฐบาลจีนเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง

ข้ิอมูลสวนสัตว์เชียงใหม่

สวนสัตว์เชียงใหม่ เป็นสวนสัตว์ในความดูแลขององค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ บนถนนห้วยแก้ว ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 น. - 17.00 น. มีสัตว์อยู่ในสวนสัตว์จำนวนมาก เช่น เม่น นกยูง เสือโคร่ง เสือขาว กวาง แรด ฮิปโปเตมัส ช้าง หมี อีเห็น และยังมีส่วนจัดแสดงหมีแพนด้า ช่วงช่วง และ หลินฮุ่ย จากประเทศจีน ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่มีโบราณสถานที่ชื่อว่าวัดกู่ดินขาว ที่เป็นซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเวียงเจ็ดลิน และมีการแสดงความสามารถของสัตว์ เช่น นกมาคอลว์ นาก นกกระทุง และมีส่วนจัดแสดงเพนกวินและแมวน้ำ
นอกจากนี้ สวนสัตว์เชียงใหม่ยังเป็นที่ตั้งของ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ศูนย์แสดงพันธ์สัตว์น้ำครบวงจร ที่มีอุโมงค์น้ำความยาวกว่า 133 เมตร ซึ่งจัดว่ายาวที่สุดในโลก แบ่งเป็นอุโมงค์น้ำเค็ม 66.5 เมตร และอุโมงค์น้ำจืด 66.5 เมตร โดยเชียงใหม่ ซู อควาเรียมได้รวบรวมปลาน้ำจืดแห่งลุ่มแม่น้ำโขงและโลกใต้ทะเลด้วยกัน เพื่อให้ชีวิตน้อยใหญ่ได้อาศัยพึ่งพิง

สาวสวยเชียงใหม่ 1

กู้ 30,000 ผ่อน 917 บาท x 60 เดือน ฟรี ค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้

น้องวิว สาว ม.ช. แบ๊วได้ใจจริงๆ



 น้องแอนนี่ สาวเชียงใหม่อีกคน น่ารักมว๊าก



น้องมายด์ ม.พายัพ งามแต้งามว่า



น้องวิววิว สาว ม.ช.อีกคน ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ



สาวคนสุดท้าย น้องมีน ตัวแทนจากม.ช. น่าฮักขนาด


 
Design by Free WordPress Themes | Blogger Theme by Lasantha - Premium Blogger Templates | Affiliate Network Reviews